Hidden Divergence คืออะไร?
Hidden Divergence เป็นหนึ่งในรูปแบบของ Divergence ที่ใช้ในการวิเคราะห์ทางเทคนิค เพื่อระบุถึงความเป็นไปได้ของการต่อเนื่องของแนวโน้มปัจจุบัน (Trend Continuation) ในตลาดการเงิน เช่น ตลาด Forex หุ้น หรือสินค้าโภคภัณฑ์
ประเภทของ Hidden Divergence
Hidden Divergence แบ่งออกเป็นสองประเภทหลัก คือ Bullish Hidden Divergence และ Bearish Hidden Divergence
1. Bullish Hidden Divergence (Hidden Divergence แบบขาขึ้น)
ลักษณะ
- เกิดขึ้นเมื่อราคาทำจุดต่ำสุดสูงขึ้น (Higher Low) แต่ตัวชี้วัดทำจุดต่ำสุดใหม่ (Lower Low)
ความหมาย
- เป็นสัญญาณว่าแนวโน้มขาขึ้นยังคงมีความแข็งแกร่งและมีแนวโน้มที่จะดำเนินต่อไป
ตัวอย่าง
- ราคา (Higher Low): ราคาเคลื่อนที่จาก 1.1000 ไปยัง 1.1200 แล้วลดลงมา 1.1100 และขึ้นไปใหม่ที่ 1.1300
- ตัวชี้วัด (Lower Low): ตัวชี้วัดเช่น RSI หรือ MACD เคลื่อนที่จาก 40 ไปยัง 60 แล้วลดลงมา 30 และขึ้นไปใหม่ที่ 50
2. Bearish Hidden Divergence (Hidden Divergence แบบขาลง)
ลักษณะ
- เกิดขึ้นเมื่อราคาทำจุดสูงสุดต่ำลง (Lower High) แต่ตัวชี้วัดทำจุดสูงสุดใหม่ (Higher High)
ความหมาย
- เป็นสัญญาณว่าแนวโน้มขาลงยังคงมีความแข็งแกร่งและมีแนวโน้มที่จะดำเนินต่อไป
ตัวอย่าง
- ราคา (Lower High): ราคาเคลื่อนที่จาก 1.2000 ไปยัง 1.1800 แล้วขึ้นไป 1.1900 และลงไปใหม่ที่ 1.1700
- ตัวชี้วัด (Higher High): ตัวชี้วัดเช่น RSI หรือ MACD เคลื่อนที่จาก 60 ไปยัง 40 แล้วขึ้นไป 70 และลงไปใหม่ที่ 50
วิธีการใช้ Hidden Divergence ในการเทรด
เลือกตัวชี้วัด (Indicators)
- เลือกตัวชี้วัดที่คุณต้องการใช้ในการตรวจจับ Hidden Divergence เช่น RSI, MACD, Stochastic Oscillator
ระบุแนวโน้มปัจจุบัน
- ตรวจสอบแนวโน้มปัจจุบันว่ามีแนวโน้มขาขึ้นหรือขาลง
ตรวจจับ Hidden Divergence
มองหาความไม่สอดคล้องกันระหว่างการเคลื่อนไหวของราคาและตัวชี้วัด
- สำหรับ Bullish Hidden Divergence: มองหาจุดต่ำสุดสูงขึ้นในกราฟราคาและจุดต่ำสุดใหม่ในตัวชี้วัด
- สำหรับ Bearish Hidden Divergence: มองหาจุดสูงสุดต่ำลงในกราฟราคาและจุดสูงสุดใหม่ในตัวชี้วัด
ยืนยันสัญญาณ
- ใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิคเพิ่มเติม เช่น แนวรับและแนวต้าน, เส้นแนวโน้ม, หรือรูปแบบกราฟ เพื่อยืนยันสัญญาณ
ตั้งค่า Entry และ Exit Points
เปิดตำแหน่งเทรดตามสัญญาณ Hidden Divergence ที่ยืนยันแล้ว
- สำหรับ Bullish Hidden Divergence: เปิดตำแหน่ง Buy
- สำหรับ Bearish Hidden Divergence: เปิดตำแหน่ง Sell
ตั้งค่า Stop Loss และ Take Profit อย่างเหมาะสมเพื่อลดความเสี่ยง
ตัวอย่างการใช้ Hidden Divergence ในการเทรด
สมมติว่าคุณกำลังเทรดคู่สกุลเงิน EUR/USD และระบุ Bullish Hidden Divergence ด้วย RSI
ระบุแนวโน้มขาขึ้น
- ราคาเคลื่อนที่จาก 1.1000 ไปยัง 1.1200 แล้วลดลงมา 1.1100 และขึ้นไปใหม่ที่ 1.1300
- RSI เคลื่อนที่จาก 40 ไปยัง 60 แล้วลดลงมา 30 และขึ้นไปใหม่ที่ 50
ตรวจจับ Bullish Hidden Divergence
- ราคา: Higher Low ที่ 1.1100
- RSI: Lower Low ที่ 30
ยืนยันสัญญาณ
- ใช้แนวรับที่ 1.1100 เป็นการยืนยันแนวโน้มขาขึ้นที่ยังคงอยู่
ตั้งค่า Entry และ Exit Points
- เปิดตำแหน่ง Buy ที่ 1.1150 (เหนือแนวรับเล็กน้อย)
- ตั้งค่า Stop Loss ที่ 1.1050 (ต่ำกว่าแนวรับ)
- ตั้งค่า Take Profit ที่ 1.1300 (ใกล้จุดสูงสุดเดิม)
ข้อควรระวังในการใช้ Hidden Divergence
1. การใช้ Indicator ร่วมกัน
- ใช้ Hidden Divergence ร่วมกับการวิเคราะห์ทางเทคนิคอื่น ๆ เพื่อเพิ่มความแม่นยำและยืนยันสัญญาณ
2. สัญญาณหลอก (False Signals)
- ตรวจสอบและยืนยันสัญญาณ Hidden Divergence ด้วยการวิเคราะห์เพิ่มเติม เช่น แนวรับและแนวต้าน
3. การตั้งค่า Stop Loss และ Take Profit
- อย่าลืมตั้งค่า Stop Loss และ Take Profit เพื่อลดความเสี่ยงและล็อกกำไร
สรุป
Hidden Divergence เป็นสัญญาณทางเทคนิคที่ใช้ในการระบุความต่อเนื่องของแนวโน้มปัจจุบัน (Trend Continuation) โดยมีสองประเภทหลักคือ Bullish Hidden Divergence และ Bearish Hidden Divergence การใช้ Hidden Divergence ช่วยให้นักเทรดสามารถวางแผนการเทรดตามแนวโน้มที่ยังคงดำเนินต่อไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ การตรวจจับและยืนยันสัญญาณ Hidden Divergence อย่างถูกต้องช่วยเพิ่มโอกาสในการทำกำไรและลดความเสี่ยงในการเทรด