วิธีจัดพอร์ตการลงทุนให้เหมาะกับตัวคุณ
การจัดพอร์ตการลงทุน (Portfolio Allocation) คือกระบวนการแบ่งสัดส่วนเงินลงทุนไปในสินทรัพย์ประเภทต่าง ๆ เพื่อกระจายความเสี่ยงและสร้างโอกาสในการเติบโตของเงินทุน การจัดพอร์ตที่ดีควรสอดคล้องกับ เป้าหมายการเงิน ความเสี่ยงที่รับได้ และระยะเวลาการลงทุน ของแต่ละคน
1. กำหนดเป้าหมายการลงทุนให้ชัดเจน
- ระยะสั้น (ภายใน 1-3 ปี) เช่น เก็บเงินไปเที่ยว ซื้อรถ ลงทุนควรเน้นสินทรัพย์เสี่ยงต่ำ เช่น เงินฝากประจำ กองทุนตลาดเงิน
- ระยะกลาง (3-7 ปี) เช่น ซื้อบ้าน เก็บทุนเพื่อการศึกษา สามารถเพิ่มสัดส่วนในหุ้นบ้างเพื่อเพิ่มผลตอบแทน
- ระยะยาว (มากกว่า 7 ปี) เช่น เงินเกษียณ ลงทุนในหุ้นหรือกองทุนหุ้นมากขึ้น เพราะมีเวลารับมือความผันผวน
2. ประเมินระดับความเสี่ยงที่คุณรับได้
คุณควรรู้ว่าตัวเองเป็นนักลงทุนประเภทไหน
- รับความเสี่ยงต่ำ: เน้นรักษาเงินต้น ผลตอบแทนไม่สูง เช่น พันธบัตร เงินฝาก
- รับความเสี่ยงปานกลาง: ยอมรับความผันผวนได้บ้าง ลงทุนผสมระหว่างหุ้นและตราสารหนี้
- รับความเสี่ยงสูง: เน้นเติบโตระยะยาว ยอมรับการขึ้นลงของตลาดได้ เช่น หุ้นรายตัว สินทรัพย์ทางเลือก
3. กระจายการลงทุนในหลายสินทรัพย์
เพื่อไม่ให้ความเสี่ยงกระจุกตัว ควรกระจายเงินไปยังสินทรัพย์หลายประเภท เช่น
- หุ้น (Stocks)
- ตราสารหนี้ (Bonds)
- อสังหาริมทรัพย์ (REITs)
- สินค้าโภคภัณฑ์ เช่น ทองคำ
- กองทุนรวม หรือ ETF
4. ทบทวนและปรับพอร์ตอย่างสม่ำเสมอ
ตลาดเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา และเป้าหมายชีวิตของเราก็เปลี่ยนได้เช่นกัน ควรตรวจสอบพอร์ตทุก 6-12 เดือน เพื่อปรับสัดส่วนการลงทุนให้ยังสอดคล้องกับแผน
5. ใช้หลัก “ลงทุนตามตัวเอง”
ไม่จำเป็นต้องจัดพอร์ตเหมือนใคร เพราะความสามารถในการรับความเสี่ยงและเป้าหมายทางการเงินของแต่ละคนไม่เหมือนกัน สิ่งสำคัญคือคุณต้องรู้จักตัวเองก่อน
สรุป
การจัดพอร์ตการลงทุนให้เหมาะกับตัวคุณ คือการผสมผสานระหว่างความรู้ เป้าหมาย และวินัย หากคุณเริ่มจากการรู้จักตัวเองและวางแผนอย่างเป็นระบบ โอกาสประสบความสำเร็จในการลงทุนระยะยาวก็จะมากขึ้น