ตั้งค่า Stop Loss ยังไง? เมื่อไหร่ที่เราควรตั้ง Stop Loss ?
การตั้งค่า Stop Loss อย่างเหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้นักเทรดสามารถบริหารความเสี่ยงและป้องกันการขาดทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ต่อไปนี้คือขั้นตอนและแนวทางในการตั้งค่า Stop Loss และคำแนะนำเกี่ยวกับช่วงเวลาที่ควรตั้ง Stop Loss
ขั้นตอนในการตั้งค่า Stop Loss
1.กำหนดระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้
- กำหนดเปอร์เซ็นต์ของเงินทุนที่คุณยอมรับได้ในการขาดทุนต่อการเทรดหนึ่งครั้ง เช่น 1-2% ของเงินทุนทั้งหมด
- ตัวอย่าง: หากคุณมีเงินทุน $10,000 และกำหนดความเสี่ยงที่ 2%, คุณยอมรับการขาดทุนสูงสุด $200 ต่อการเทรดหนึ่งครั้ง
2.ใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิค
แนวรับและแนวต้าน
- ตั้งค่า Stop Loss ใต้แนวรับ (สำหรับการซื้อ) หรือเหนือแนวต้าน (สำหรับการขาย)
เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Average)
- ตั้งค่า Stop Loss ใต้หรือเหนือเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ เช่น เส้นค่าเฉลี่ย 50 วัน
Fibonacci Retracement Levels
- ใช้ระดับ Fibonacci Retracement ในการตั้งค่า Stop Loss ใต้ระดับ 61.8% หรือ 38.2%
รูปแบบกราฟ (Chart Patterns)
- ตั้งค่า Stop Loss ใต้หรือเหนือจุดต่ำสุดหรือจุดสูงสุดของรูปแบบกราฟ เช่น รูปแบบสามเหลี่ยม, รูปแบบธง (Flag), รูปแบบหัวและไหล่ (Head and Shoulders)
3.การคำนวณ Stop Loss ตามจำนวน pips
- ระบุจำนวน pips ที่คุณต้องการใช้เป็น Stop Loss ตามระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้
- คำนวณขนาดของตำแหน่ง (Position Size) โดยใช้สูตร: Position Size (ล็อต)=Amount at RiskStop-Loss (pips)×Pip Value = Position Size (ล็อต)=Stop-Loss (pips)×Pip ValueAmount at Risk
- ตัวอย่าง: หากคุณยอมรับความเสี่ยง $200 และตั้ง Stop Loss ที่ 50 pips ขนาดของตำแหน่งการเทรดจะเท่ากับ: Position Size=20050×10=0.4 ล็อต = 0.4 Position Size=50×10200=0.4 ล็อต
ช่วงเวลาที่ควรตั้ง Stop Loss
1.เมื่อเปิดตำแหน่งการเทรดใหม่
- ตั้งค่า Stop Loss ทันทีที่เปิดตำแหน่งการเทรดใหม่ เพื่อป้องกันการขาดทุนที่อาจเกิดขึ้นจากการเคลื่อนไหวของตลาดที่ไม่คาดคิด
2.เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงในแนวโน้มตลาด
- หากมีสัญญาณการเปลี่ยนแปลงในแนวโน้มตลาด เช่น การทะลุแนวรับหรือแนวต้าน การเปลี่ยนแปลงของเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ หรือสัญญาณจากตัวชี้วัดทางเทคนิค
- สามารถปรับ Stop Loss ให้เข้ากับสภาพตลาดใหม่ เช่น ย้าย Stop Loss ตามแนวรับใหม่เพื่อรักษากำไรที่ทำได้
3.เมื่อมีการประกาศข่าวสำคัญ
- ก่อนการประกาศข่าวสำคัญที่อาจมีผลกระทบต่อความผันผวนของตลาด เช่น การประกาศอัตราดอกเบี้ย, รายงาน GDP, หรือรายงานการจ้างงาน (Non-Farm Payroll)
- ตั้ง Stop Loss ล่วงหน้าเพื่อป้องกันการขาดทุนจากความผันผวนของตลาดที่เกิดจากข่าว
4.เมื่อเทรดตามกลยุทธ์
- ตามกลยุทธ์การเทรดที่กำหนดไว้ เช่น กลยุทธ์ Breakout, Swing Trading, หรือ Trend Following
- ตั้งค่า Stop Loss ตามระดับที่กำหนดในกลยุทธ์ เพื่อควบคุมความเสี่ยงและปฏิบัติตามแผนการเทรด
ตัวอย่างการตั้งค่า Stop Loss
สมมติว่าคุณต้องการเทรดคู่สกุลเงิน EUR/USD และมีเงินทุน $10,000 กำหนดความเสี่ยงที่ 2% และใช้แนวรับและแนวต้านในการตั้งค่า Stop Loss
1.กำหนดความเสี่ยงที่ยอมรับได้
- ความเสี่ยงที่ยอมรับได้ = 2% ของ $10,000 = $200
2.ใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิค
- ราคาปัจจุบันของ EUR/USD อยู่ที่ 1.1200
- ระดับแนวรับอยู่ที่ 1.1150
- ระดับแนวต้านอยู่ที่ 1.1250
3.ตั้งค่า Stop Loss
- สำหรับตำแหน่งซื้อ (Long Position): ตั้ง Stop Loss ใต้แนวรับที่ 1.1140
- สำหรับตำแหน่งขาย (Short Position): ตั้ง Stop Loss เหนือแนวต้านที่ 1.1260
4.คำนวณขนาดของตำแหน่ง
- หาก Pip Value สำหรับ 1 ล็อตมาตรฐานคือ $10, และ Stop-Loss สำหรับตำแหน่งซื้อคือ 60 pips (1.1200 – 1.1140)
- ขนาดของตำแหน่งการเทรด = 20060×10=0.333 ล็อต\frac{200}{60 \times 10} = 0.333 \text{ ล็อต}60×10200=0.333 ล็อต
การตั้งค่า Stop Loss อย่างเหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญในการบริหารความเสี่ยงในการเทรด Forex ควรตั้งค่า Stop Loss ตามการวิเคราะห์ทางเทคนิคและกลยุทธ์การเทรดที่วางไว้ เพื่อป้องกันการขาดทุนที่ไม่คาดคิดและรักษาเงินทุนในการเทรด