ช่องว่างของราคาคืออะไร ?
ช่องว่างของราคา (Price Gap) คือช่วงราคาที่มีการขาดหายไประหว่างการปิดตลาดในวันหนึ่งกับการเปิดตลาดในวันถัดไป โดยราคาปิดของวันก่อนหน้าและราคาเปิดของวันถัดไปไม่มีการซื้อขายหรือเคลื่อนไหวของราคาในช่วงที่ขาดหายไป ช่องว่างของราคาสามารถเกิดขึ้นได้ในตลาดหุ้น ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ และตลาดฟอเร็กซ์ ซึ่งมักจะเกิดขึ้นในช่วงที่มีข่าวสำคัญหรือเหตุการณ์ที่ส่งผลกระทบต่อความผันผวนของราคา
ประเภทของช่องว่างของราคา
1. ช่องว่างต่อเนื่อง (Continuation Gap)
- เกิดขึ้นในทิศทางเดียวกับแนวโน้มปัจจุบัน แสดงถึงความต่อเนื่องของแนวโน้มเดิม
- มักพบในช่วงที่มีการซื้อขายหรือความสนใจจากนักลงทุนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
2. ช่องว่างกลับตัว (Reversal Gap)
- เกิดขึ้นใกล้กับจุดสูงสุดหรือต่ำสุดของแนวโน้ม แสดงถึงความเป็นไปได้ในการกลับตัวของแนวโน้ม
- มักเกิดจากการเปลี่ยนแปลงในทิศทางของตลาดที่ชัดเจน
3. ช่องว่างเปิดตลาด (Opening Gap)
- เกิดขึ้นระหว่างการปิดตลาดในวันหนึ่งกับการเปิดตลาดในวันถัดไป
- มักพบในช่วงเปิดตลาดวันจันทร์เมื่อมีข่าวหรือเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นในช่วงสุดสัปดาห์
4. ช่องว่างหมดแรง (Exhaustion Gap)
- เกิดขึ้นเมื่อแนวโน้มใกล้สิ้นสุดและมีการเคลื่อนไหวของราคาที่รุนแรง
- มักเป็นสัญญาณของการหมดแรงของแนวโน้มปัจจุบันและการกลับตัวที่ใกล้เข้ามา
ตัวอย่างการเกิดช่องว่างของราคา
1. ช่องว่างขาขึ้น (Upward Gap)
- เกิดขึ้นเมื่อราคาเปิดสูงกว่าราคาปิดของวันก่อนหน้า
- ตัวอย่าง: ราคาปิดของวันศุกร์อยู่ที่ 1.1000 และราคาเปิดของวันจันทร์อยู่ที่ 1.1050
3. ช่องว่างขาลง (Downward Gap)
- เกิดขึ้นเมื่อราคาเปิดต่ำกว่าราคาปิดของวันก่อนหน้า
- ตัวอย่าง: ราคาปิดของวันศุกร์อยู่ที่ 1.1000 และราคาเปิดของวันจันทร์อยู่ที่ 1.0950
ปัจจัยที่ทำให้เกิดช่องว่างของราคา
1. ข่าวสำคัญทางเศรษฐกิจ
- การประกาศตัวเลขเศรษฐกิจ เช่น GDP, อัตราเงินเฟ้อ, อัตราการว่างงาน สามารถส่งผลกระทบต่อความผันผวนของราคาและเกิดช่องว่าง
2. เหตุการณ์ทางการเมือง
- การเปลี่ยนแปลงนโยบายรัฐบาล การเลือกตั้ง หรือเหตุการณ์ที่มีผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศสามารถทำให้เกิดช่องว่างของราคา
3. การประกาศผลประกอบการของบริษัท
- การประกาศผลประกอบการของบริษัทที่ไม่เป็นไปตามที่คาดหวังสามารถทำให้เกิดการเคลื่อนไหวของราคาที่รวดเร็วและเกิดช่องว่าง
การใช้ช่องว่างของราคาในการเทรด
1. การเทรดตามช่องว่าง (Gap Trading)
- นักเทรดสามารถใช้ประโยชน์จากช่องว่างของราคาในการเปิดตำแหน่งเทรด โดยใช้กลยุทธ์เช่น Gap Fill (การปิดช่องว่าง) หรือ Gap and Go (การเทรดตามช่องว่าง)
2. การวิเคราะห์แนวโน้มและความต่อเนื่อง
- การเกิดช่องว่างในทิศทางเดียวกับแนวโน้มปัจจุบันสามารถใช้เป็นสัญญาณยืนยันแนวโน้มที่แข็งแกร่ง
3. การระบุการกลับตัวของแนวโน้ม
- ช่องว่างกลับตัว (Reversal Gap) สามารถใช้ในการระบุจุดกลับตัวของแนวโน้มและการเปิดตำแหน่งเทรดในทิศทางตรงกันข้าม
ข้อควรระวังในการใช้ช่องว่างของราคา
1. ความผันผวนของตลาด
- ช่องว่างของราคามักเกิดขึ้นในช่วงที่มีความผันผวนสูง ควรใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิคเพิ่มเติมเพื่อตรวจสอบความน่าเชื่อถือของสัญญาณ
2. สัญญาณหลอก (False Signals)
- บางครั้งช่องว่างของราคาอาจเกิดสัญญาณหลอก ควรใช้การวิเคราะห์เพิ่มเติมเพื่อยืนยัน
3. การตั้งค่า Stop Loss และ Take Profit
- ควรตั้งค่า Stop Loss และ Take Profit อย่างรอบคอบเพื่อลดความเสี่ยงในการขาดทุนและล็อกกำไร
สรุป
ช่องว่างของราคา (Price Gap) เป็นช่วงที่ราคามีการขาดหายไประหว่างการปิดตลาดในวันหนึ่งและการเปิดตลาดในวันถัดไป การเกิดช่องว่างของราคามักเกิดขึ้นจากข่าวสำคัญหรือเหตุการณ์ที่ส่งผลกระทบต่อความผันผวนของราคา การใช้ประโยชน์จากช่องว่างของราคาในการเทรดสามารถช่วยให้นักเทรดทำกำไรได้ อย่างไรก็ตาม ควรใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิคเพิ่มเติมและตั้งค่า Stop Loss และ Take Profit อย่างรอบคอบเพื่อลดความเสี่ยงในการขาดทุนและเพิ่มโอกาสในการทำกำไร